วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

รองหอฯออกโรงเตือนวิกฤติน้ำมันรอบใหม่ อาจทะยานแตะ 35 บาท หากเวเนฯตอบโต้สหรัฐฯ

 หลังจากรัฐบาเวเนซูเอล่า ประกาศเตรียมคว่ำบาตรสหรัฐหากยังยืนกรานกดดันเวเนซูและประธานธิบดี ฮูโก้ซาเวช โดยการอายัดทรัพย์ และการคว่ำบาตรทางการค้า
ด้านนายชวนะ เกียรติชวนะเสวี รองประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต ให้สัมภาษณ์ว่า นี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น ของวิกฤติน้ำมันรอบใหม่ หากเวเนซูเอล่าประกาศยุติการส่งออกน้ำมันให้กับสหรัฐฯ รวมไปถึงพันธมิตรที่สำคัญอย่างอิหร่านอิสรเอล ซึ่งจะทำน้ำมันในตลาดซื้อขายล่วงหน้า อย่าง nymax dowjone ซึ่งจะทำให้มีความต้องการที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าการตลาดราคาน้ำมันในบ้านเราปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งภายในสัปดาห์นี้น่าจะมีการปรับราคาขายขึ้น 2 รอบเป็นอย่างน้อย และหากเวนาซูล่า ประกาศจับมือกับพันธมิตรจะทำให้เกิดวิกฤติน้ำมันรอบใหม่ ทั้งนี้ OPEC ยังไม่มีท่าทีต่อกรณีว่าจะมีการเพิ่มกำลังผลิตหรือไม่ 
      รองหอฯภูเก็ตยังก่าวต่อไปว่า ราคาสินค้าที่รอการปรับตัวขึ้นไม่ว่าจะเป็นนมผง น้ำมัน น้ำตาล ก๊าซหุงต้ม รวมไปถึงสินค้าในหมวดควบคุมบางรายการ ที่มีการขอปรับราคาขายก่อนนั้นก็จะทยอยปรับราคาขายในท้องตลาดขึ้นทันทีเช่นกัน ถึงแม้รัฐบาลใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสานงานต่อยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจน แต่หากมีการกดดันค่าการตลาดมากทั้งภาระต้นทุนที่สูงขึ้น และค่าการตลาดที่ประสบภาวะขาดทุน จะทำให้เกิดการกักตุนสินค้าของยี่ปั๊ว และขายสินค้าเกินราคา แต่จากสถานการณ์ความจริงแล้ว ราคาน้ำมันและราคาสินค้านั้น เฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้นที่มีราคาขายเท่ากับค่าการตลาดจริงตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ และเป็นไปตามราคาของกระทรวงพลังที่กำหนด แต่ในต่างจังหวัดมีการปรับราคาขายขึ้นไปก่อนแล้วอย่างน้อย 30 - 40 สตางค์จากภาระต้นทุนขนส่ง ดังนั้นหากมีการปรับราคาน้ำมันขึ้นอีกเท่ากับว่าค่าการตลาด ของราคาน้ำมันในต่างจังหวัดจะปรับสูงกว่า เกือบ 1 บาท/ลิตร เลยทีเดียว จึงอยากสะท้อนปัญาเรื่องนี้ไปยังรัฐบาล ให้คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก และการอนุญาตปรับราคาสินค้าให้เป็นไปกลไกลการตลาดในบางช่วง และเข้ามาสอดแทรกในบางช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาภาระของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้รัฐบาลสามารถลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้มากกว่า 1-2 หากสามารถลดปัญหาวิกฤติราคาน้ำมันได้ก็เป็นทางออกที่ดี ต้องต้องค่อยเป็นไปค่อยไปและทำความเข้าใจกับประชาชนช่วยการรณรงค์ประหยัดพลัง และใช้นโยบายเศรษฐพอเพียงเข้ามาช่วยแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ก็เชื่อว่าน่าจะผ่านช่วงสภาวะอย่างนี้ไปได้ คาดว่าดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไม่น่าจะอยู่ที่การส่งออก แต่น่าจะอยู่ด้านบริการ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นหลัก ซึ่งธุรกิจประเภทนี้มีการขยายตัวที่รวดเร็วและสูงขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว 
      รองหอฯภูเก็ตกล่าว่า ในส่วนของอันดามมัน ยังมีโครงการที่รอการผลักดันให้เดินหน้าต่อไปในหลายโครงการทั้ง โครงสร้างระบบโลว์จิสต์ติก ระบบโครงสร้างขั้นพื้นฐาน หอประชุมนานาชาติ การขยายรันเวย์สนามบินภูเก็ต โครงการต่างๆเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้และเชื่อว่า โครงการเหล่านั้นมีความจำเป็นต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อต่อยอดรายได้การท่องเที่ยวให้กับภูมิภาคอันดามันและสร้างได้ให้กับประเทศ จึงอยากฝากให้รัฐบาลเร่งพิจารณาและสานต่อโครงการต่อไป นายชวนะกล่าว 
แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น