วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ชวนะชี้ประชาชนต้องการประชาธิปไตย ประชามติเห็นชอบ แนะรัฐฯเร่งเลือกตั้งตามกำหนด เน้นอำนาจเก่าเคารพกติกา


19 สิงหาคม 2550 วันชี้ชะตาอนาคตการเมืองไทยผ่านพ้นไปได้ด้วยดี โดยมีผู้มาใช้สิทธิ 25,120,193 คน จากผู้มีสิทธิออกเสียง 45,658,178 คน คิดเป็นร้อยละ 56.85 โดยมีผู้เห็นชอบ 14,312,932 คน คิดเป็นร้อยละ 58.18 และไม่เห็นชอบ 10,287,202 คน คิดเป็นร้อยละ 41.82
ด้านนายชวนะ เกียรติชวนะเสวี รองประธานหอการค้า จ.ภูเก็ต กล่าวว่า การที่ประชาชนออกไปใช้สิทธิเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในครั้งนี้ คิดเป็นร้อยละ 56.85 มองได้หลายมิติ สำหรับการออกไปใช้เสียงในครั้งนี้เชื่อว่าประชาชนตระหนักถึงบทบาทสำคัญ ในการมีส่วนร่วมกับการแก้ไขวิกฤติบ้านเมือง และการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศ ทั้งนี้ประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิในครั้งนี้เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 ปี 2550 ฉบับนี้เชื่อว่าประชาชนไม่ต้องการให้ประเทศกลับสู่ยุคมืดอีกครั้ง และต้องการเห็นการเลือกตั้งโดยเร็ว
ในส่วนของผู้ไม่เห็นชอบซึ่งมีผู้ออกไปใช้สิทธิกว่าร้อยละ 41.82 หรือ10,287,202 คน นั้นเชื่อว่ารัฐบาลต้องให้ความสำคัญและทำความเข้าใจกับประชาชนถึงแนวทาง และทางออกสำคัญในการทำประชามติในครั้งนี้ทั้งนี้ต้องสกัดกั้นการชี้นำของกลุ่มอำนาจเก่า และเปิดโอกาสให้รัฐบาลที่จะเข้ามาจากการเลือกตั้ง เข้าไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่ประชาชนยังให้ความเคลือบแคลงสงสัย และที่สำคัญนักการเมืองและพรรคการเมืองต้องเคารพกติกา และเดินหน้าไปสู่ความสงบในบ้านเมือง กลับเข้าสู่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และรัฐบาลจะต้องไม่มีข้อแม้ใดๆ ในการจัดการเลือกตั้งให้เกิดขึ้นในปลายปีนี้
ในส่วนของภาคเศรษฐกิจจะเห็นได้ว่าก่อนการลงประชามติ 1 สัปดาห์ตลาดทุนได้รับแรงกระทบมาโดยตลอด โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติได้เทขายหุ้นออกมาจำนวนมาก ส่งผลทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงไปกว่า 80 จุด และหลังจากที่มีการลงประชามติผ่านพ้นไปทำให้นักลงทุน กลับมามีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง เห็นได้จาก ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดตัวปรับสูงขึ้นมากกว่า 30 จุดทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อว่า เศรษฐกิจมวลรวมภายในประเทศปีนี้น่าจะขยายตัวมากกว่าร้อยละ 4.0 จากปัจจัยภายในประเทศที่เริ่มคลี่คลาย ในส่วนของไตรมาส 3-4 เศรษฐกิจในฐานร่างน่าจะขยับตัวดีขึ้นประชาชน เริ่มคลายความกังวล มีการจับจ่ายเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ และอาจจะมีเงินสะพัดทั้งในและนอกระบบมากขึ้นหากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปลายปีนี้ ทั้งนี้ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ เอกชน ที่ยังมีการเบิกจ่ายงบประมาณต่ำกว่าเป้าที่กำหนดไว้ รัฐควรจะเข้าไปผลักดันให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อที่จะทำให้เงินในระบบมีการหมุนเวียนมากขึ้น ทั้งนี้เชื่อว่าการลงประชามติรับร่าง รธน.ในครั้งนี้จะทำให้นานาประเทศเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น ทั้งนักลงทุนจะให้ความเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากขึ้นอีกด้วย การเดินหน้าไปสู่ระบอบประชาธิปไตยตามแนวทางที่รัฐบาลวางไว้นั้น และประชาชนทั้งประเทศอยากเห็นการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการคืนอำนาจสู่ประชาชนโดยแท้จริงนายชวนะกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น